+++ใหม่มาแทน หรือ เก่าอยู่ต่อ ลองเช็คดู+++
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ท่ามกลางความสนใจของชาวไทย ที่รอคอยการมาของ Eco Car เจนเนเรชั่น 3 รุ่นล่าสุดของค่าย SUZUKI กับการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่หมดจรด ทั้งด้านนอก-ใน ภายใต้แนวคิด We Standout ซึ่งได้รับการตอบรับดีไม่น้อย แต่....ยังติดอะไรอยู่
++ภายนอก++
มาเปรียบเทียบคร่าวๆ ดูกันเป็นส่วนๆ เริ่มจากภาพลักษณ์ใหม่ในบ้านเราแต่เก่าที่ญี่ปุ่น ไฟหน้าแบบ LED โปรเจคเตอร์ ที่ปรับระดับความสูงต่ำได้อัตโนมัติเมื่อมีน้ำหนักกดท้าย พร้อม Daytime Running Light ไฟท้ายแบบ LED เช่นกัน ส่วนมือจับประตูหลังแบบสปอร์ตเรียบเนียนกับตัวรถ โดยรวมลงตัวตามสมัยนิยม เมื่อเทียบกับรุ่นเก่าแล้วทำได้ดี “แต่” อยู่ที่ความชอบ เพราะรุ่นเก่าก็มีไม่ต่างกัน อย่าลืมว่ากลุ่มคนใช้รถไม่ได้มีแค่วัยรุ่น และอีกอย่าง คือ ค่ายอื่นยังไม่ทิ้งไพ่ลงมา เพราะฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้
++ภายใน++
ห้องโดยสารมีกลิ่นอายยุโรปปะปนเล็กน้อย “แต่” ยังไม่ลงตัวกับช่องแอร์กลมตรงเพียงตรงกลางส่วนด้านข้างไม่ใช่ พื้นที่กว้างขึ้นเล็กน้อย จุดเด่นอยู่ที่คอนโซรลออกแบบให้หันเข้าหาคนขับแบบรถซีดานหรู พวงมาลัยทรง D-Shape ที่ดูสปอร์ต “แต่” ไม่เหมาะกับการหมุนหลายๆ รอบ ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่ไม่ต่างจากรุ่นเดิมเท่าไร และแป้น Padel shift หายไป !!!
จอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แต่อยู่ในตัวบนสองรุ่นคือ GXL และ GXL Navi เบาะนั่งทำได้ดี นั่งแล้วสบายให้กระชับ ส่วนวัสดุที่เลือกมาใช้ประกอบภายในกลับดูด้อยกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตรงคอลโซล แผงข้าง จนทำให้นึกถึงว่านี่เป็นการลดคอร์สเพื่อให้ราคาต่ำลงตามไปด้วยหรือไม่
++โครงสร้าง++
จุดเด่นที่ต้องยกให้ “แต่” มองไม่เห็นกับโคร้างสร้าง Lighter Body Structure ที่ได้รับการออกแบบใหม่เป็นชิ้นเดียวเรียกว่า HEARTECT ช่วยให้น้ำหนักน้อยลง และที่สำคัญโครงสร้างรูปแบบนี้จะเป็นพื้นฐานให้กับรถในค่ายรุ่นต่อไป ระบบช่วงล่างปรับเปลี่ยนตามเพราะโครงสร้างใหม่ “แต่” เป็นรูปแบบการทำงานยังคงเดิมแค่เบาลง ระบบเบรคสี่ล้อให้เป็นดิสก์เบรคทั้งหมด “แต่” อยู่ในรุ่นบนอย่าง GXL และ GXL Navi ซึ่งไม่แปลกใจเท่าไร
++Test Run++
ในช่วงทดสอบสมรรถนะของรถโดยรวมหลังจากพุ่งเข้าโค้งแรก ต่อไปอีกโค้งทั้งทางลงและทางขึ้นบนเส้นทาง สะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ทำได้ดีเก่าเดิม “แต่” ต้องดูระยะยาวหลังจากผ่านไปซัก 30,000 กิโลเมตร ว่าจะมีอาการแบบรุ่นก่อนไหม ปัจจัยหลักมาจากเทคโนโลยี ESP ที่ลดการสูญเสียการควบคุมในขณะเข้าโค้งที่เพิ่มให้ตามกฎข้อบังคับ Eco Car Phase 2 ประกอบกับตัวรถที่ฐานล้อที่ยาวขึ้นอีก 20 มิลลิเมตร จากเดิม 2,430 มิลลิเมตร และความสูงตัวรถต่ำลง 15 มิลลิเมตร จากเดิม 1,510 มิลลิเมตร และสำคัญช่วงล้อกว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร ทั้งล้อหน้า-หลัง ส่งผลให้ค่า GC (Ground Clearance) ลดลงจากรุ่นก่อนถึง 20 มิลลิเมตร การทรงตัวดีขึ้น อาการยวบโยนในโค้งหายไปเยอะเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
พวงมาลัยคมกริบ “แต่” เบาเกิน….สำหรับมือใหม่อาจชอบ แต่คนรุ่นเก่าที่ชอบสาวอาจไม่ถูกใจนัก ส่วนหนึ่งเพราะเปลี่ยนการควบคุมจากกล่องคอลโทรลมาเป็นชิพฝังไว้ที่มอเตอร์แทน ทำการตอบสนองดีและเร็ว
เครื่องยนต์ใหม่รหัส K12 M พร้อมระบบ Dual VVT & Dual jet ฉีดตรงหลังวาล์วพร้อมกันแบบไม่มีสเตป ความจุลดลงจาก 1,242 ซีซี. เหลือ 1,197 ซีซี. กำลังก็ลดลงจาก 91 เป็น 83 แรงม้า “แต่” ตอบสนองได้ดีขึ้นเพราะแรงบิดมาเร็วกว่าเดิมแม้ว่าจะลดลงเหลือ 108 นิวตัน-เมตร ในขณะที่กระบอกสูบเท่าเดิม อัตราเร่งทำได้ค่อยข้างดีเพราะระยะชักที่สั้นลงจาก 74.2 มิลลิเมตร เหลือ 71.5 มิลลิเมตร หน่วงเล็กน้อยหากกระแทกคันเร่งส่ง ไม่แปลกเพราะเป็นเกียร์แบบ CVT แรงม้าต่อน้ำหนักน้อยกว่าโดยรวมแล้วเบาลงกว่า 85 กิโลกรัม คิดแล้วประมาณ 10.5 กิโลกรัมต่อ 1 แรงม้า
ผลจาก Dynamic Test ของโรงงานแจ้งว่าความเร็วปลายแตะ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 ที่ 13.87 วินาที “แต่” รุ่นเดิม ทำได้ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กับอัตตราเร่งดีกว่าที่ 13.40 วินาที ทั้งที่น้ำหนักมากกว่า แสดงว่าเครื่องแรงกว่า “สรุปแล้วรุ่นใหม่นี้เน้นการลดน้ำหนักเป็นหลัก เพราะมีผลต่อเรื่องการทรงตัว “แต่” ไม่เน้นที่สมรรถนะความแรง...เอาเป็นว่าใครที่อยากสัมผัส Eco Car ขับสนุกได้อารมณ์ แต่ไม่โหดดิบ คันนี้น่าจะตอบโจทย์ได้สำหรับคนที่ยังไม่มีรถนะ แต่คนที่ขับรุ่นก่อนอยู่แล้วอยากเปลี่ยนคงต้องรอ เพราะยังติดเงื่อนไขรถคันแรก กว่าจะถึงเวลาก็อาจมีตัวใหม่ค่ายอื่นมาเป็นเลือก และสำคัญคนชอบเล่นอาจน้อยใจเล็กๆ เพราะยังไม่มีเกียร์ธรรมดาและยังไม่แน่ว่าจะมาเมื่อไร หากต้องการแค่เรื่องการทรงตัวดีก็แค่เปลี่ยนช็อคอัพคุณภาพสูงซักชุดไม่น่าเกินสามหมื่นบาทก็ได้อารมย์ไม่ต่างกัน ก็ลองเช็ค คำนวนกันดูว่าแบบไหนคุ้มกว่ากัน.....