ไม่บ่อยครั้งที่เราจะได้สัมผัสยนตรกรรมสัญชาติสวีเดน แต่คราวนี้ Mo-emag ได้รับเกียรติจาก วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ร่วมทดลองขับ XC90 T8 Twin Engine AWD ในเส้นทางกรุงเทพฯ – ชลบุรี ระยะทางรวมกว่าประมาณ 240 กิโลเมตร ซึ่งการทดลองขับในครั้งนี้ เราจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่ผสมผสานกับเครื่องยนต์อันทรงพลัง ที่ขับเคลื่อน รถเอสยูวีสุดหรูขนาด 7 ที่นั่ง พร้อมเรียนรู้เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วย
ภายนอกสุดแกร่ง น่าเกรงขาม ด้วยตัวถังที่ใหญ่โตก็จริง แต่ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูทั้งคัน ส่งผลให้แรกเห็น เป็นรถที่น่าเกรงขาม และการออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวียซึ่งพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก จึงสามารถดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนนได้ไม่ยาก ที่เห็นได้ชัดเจนคงไม่พ้นรูปทรงของไฟหน้าที่จำลองแบบ “ฆ้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” แบบแอลอีดี(LED)ที่สวยงามและลงตัว ผนวกกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ โดย XC90 เป็นรถรุ่นแรกที่เผยโฉมด้วยตราสัญลักษณ์/เครื่องหมายการค้าใหม่ของ Volvo ซึ่งออกแบบให้ส่วนของวงแหวนลูกศรสวยสง่างามมากขึ้น ช่วยให้กระจังหน้ารถดูสง่าภูมิฐานมากขึ้นอีกด้วย
ภายในเรียบหรู แต่ซ่อนไว้ซึ่งดีไซน์และรายละเอียด ก้าวแรกที่ย่างกลายเข้ามาอยู่ในห้องโดยสาร คุณก็จะได้พบกับการออกแบบที่เน้นไปในทางที่เรียบง่าย ดูดี แต่เน้นรายละเอียด อย่างที่คุณจะไม่ได้เห็นจากรถญี่ปุ่น หรือจากรถยุโรปทั่วๆไป
จุดเด่นในห้องโดยสาร ที่นอกเหนือจากการออกแบบ และวัสดุที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว คงไม่พ้น tablet ขนาด 9 นิ้วที่คอนโซล ที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบควบคุมเกือบทุกระบบในรถยนต์คันนี้ จึงเป็นผลให้ไม่จำเป็นต้องมีปุ่มต่างๆมาให้แกะกะสายตา ซึ่ง tablet ตัวนี้สามารถสั่งการได้ตั้งแต่การตั้งค่าต่างๆไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง ระบบนำทาง ระบบปรับอากาศ หรือแม้แต่ โหมดการขับขี่ โดยการใช้งานนั้นก็เหมือนการใช้ tablet หรือมือถือหน้าจอสัมผัสของเรานั่นแหละครับ ง่ายและสะดวกมากๆครับ แต่ tablet ที่ว่านี้ ไม่สามารถแกะออกมาใช้งานข้างนอกได้นะครับ
ดีไซน์และรายละเอียดภายในห้องโดยสาร นอกเหนือจาก tablet ที่คอนโซนหน้าแล้ว ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกหลายอย่างเช่น การใช้หนัง Nappa แท้เนื้อนุ่ม คิ้วไม้คัดลาย รวมทั้งหัวคันเกียร์ที่ทำจากแก้วเจียระไนของ Orrefors ชื่อดังของสวีเดน แกนหมุ่นสตาร์ทเครื่องยนต์ และปุ่มปรับระดับเสียงเครื่องเสียงรถยนต์ต่างๆล้วนแล้วแต่ถูกออกแบบมาได้อย่างลงตัว และที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะเป็นความชอบส่วนตัว นั้นก็คือ กระจกมองหลังแบบไร้ขอบ ที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว และใช้งานได้อย่างดีอีกด้วย
VOLVO XC90 T8 มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ทรงพลังขนาดเพียง 2.0ลิตรเท่านั้น แต่ด้วยการผสมผสารข้อดีของระบบอัดอากาศอย่างซุปเปอร์ชาร์จ ที่จะทำงานได้ดีในรอบต้นถึงรอบกลาง และเทอร์โบชาร์จที่ทำงานได้ดีในรอบกลาง ถึงรอบปลาย จะทำให้เครื่องยนต์ตัวนี้สร้างแรงม้าได้ถึง 320 แรงม้านั่นเอง
แต่ไม่เพียงแค่นั่น XC90 ในรหัส T8 ยังมีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ว่า สร้างแรงม้าได้ถึง 87 แรงม้าเลยทีเดียว ซึ่งเทียบเท่ากันรถบ้านธรรมดาคันนึงเลยก็ว่าได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า "Twin Engine” นั่นเอง โดยเมื่อทั้งสองระบบรวมกัน จะสร้างแรงม้ารวมได้ถึง 407 แรงม้า แรงบิดรวมมากถึง 640นิวตันเมตรเลยทีเดียว และให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.โดยใช้เวลาเพียง 5.6 วินาทีเท่านั้น ไม่ธรรมดาเลยนะครับสำหรับรถอเนกประสงค์คันนี้
โดยการทำงานของทั้งเครื่องยนต์ และระบบมอเตอร์ไฟฟ้านั่นเรียกรวมกันว่าระบบ Hybrid นั่นเองซึ่งจะมีโหมดการทำงานแยกย่อยให้เราเลือกใช้ได้ตามต้องการได้ดังนี้
-โหมดไฮบริด (HYBRID) หรือโหมดตั้งต้น ในโหมดนี้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินจะถูกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นทีละระบบ หรือทั้งสองระบบพร้อมกันในลักษณะคู่ขนาน การทำงานในโหมดนี้จะได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งด้านสมรรถนะ และการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทำงานของเครื่องยนต์และระบบเกียร์อัตโนมัติ 8สปีด จะประสานกันโดยอัตโนมัติ ซึ่งโหมดการทำงานนี้ จะเป็นโหมดตั้งต้นของทุกครั้งที่คุณสตาร์ทรถ
-โหมดเพียวร์ (PURE) โหมดนี้จะสั่งการให้มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ติดตั้งอยู่ที่เพลาหลังทำงานอย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการขับเคลื่อนล้อหลัง โดยใช้พลังงานจาก แบตเตอร์รี่ลิเธียมไอออนขนาด 9.2 กิโลวัตต์ ที่วางอยู่กลางตัวรถ ที่นอกจากจะได้รับการชาร์จไฟจากการทำงานของเครื่องยนต์โดยผ่านมอเตอร์ที่ฝังตัวอยู่ในเกียร์แล้ว ยังสามารถชาร์ตไฟได้จากการเสียบปลั๊กที่บ้าน หรือโรงจอดรถได้อีกด้วย โดยโหมดนี้ใช้ความเร็วรถไม่เกิน 125 กม/ชม. และเดินทางได้ระยะไกลถึง 40 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร และพฤติกรรมการขับของแต่ละคนด้วย
-โหมดพาวเวอร์ (POWER) ในโหมดนี้ทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานพร้อมกันแบบคู่ขนานเพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุดในการขับขี่แบบสปอร์ต นั้นหมายความว่าจะเป็นการขับเคลื่อนทั้งล้อหน้าล้อหลัง โดยโหมดนี้ ไม่เพียงแต่จะเข้าไปควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ยังเข้าไปควบคุมระบบเกียร์ให้รีดแรงม้าที่มีอยู่กว่า 407ตัวให้ออกมาควบบนถนนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังจะมีการเสริมเสียงของเครื่องยนต์ให้เร้าใจขึ้นอีกด้วย
-โหมดขับเคลื่อนทุกล้อ (AWD) โหมดนี้ใช้เพื่อการเกาะถนนบนสภาพทางที่ลื่น โดยระบบขับเคลื่อน T8 Twin Engine จะส่งกำลังจากเครื่องยนต์เบนซินไปยังล้อคู่หน้าและกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังล้อคู่หลังในลักษณะเดียวกับระบบขับเคลื่อนทุกล้อ (AWD) ของรถเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลธรรมดาที่ปรับเปลี่ยนกระจายกำลังขับไปยังล้อหน้าหรือล้อหลังอย่างต่อเนื่อง
-โหมดอ๊อฟโร้ด (OFF-ROAD) ใช้งานได้ที่ความเร็วต่ำกว่า 20 กม/ชม. เพื่อรักษาสมรรถนะของรถบนพื้นผิวทางที่ไม่ดี และเมื่อความเร็วเกิน 40 กม/ชม. โหมดนี้ก็ปิดการทำงานเองโดยอัตโนมัติและจะเปลี่ยนเป็นโหมด AWD ทั้งนี้ระบบนี้จะไม่กลับมาทำงานเองอีกแม้ความเร็วลดลง ซึ่งจะคล้ายๆการทำงานในระบบ 4L นั่นเอง และจะมีระบบควบคุมการลงเนิน Hill Descent Control จะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อลงเนินเพิ่มเข้ามาด้วย
ซึ่งระบบที่กล่างมาทั้งหมดจะสามารถสั่งการได้จาก การกดปุ่มลูกกลิ้งใต้แกนหมุ่นที่ใช้ในการสตาร์ทนั่นเอง
หลายท่านคงเคยได้ยินสโลแกนที่ว่า “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” ส่วนตัวคิดว่าสโลแกนนี้คงไม่ใช่ทั้งหมดของวอลโล่อีกต่อไป เพราะวอลโว่เอง ไม่ได้คิดแต่เพียงให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่อยู่ภายในรถเท่านั้น ยังจะพัฒนาระบบความปลอดภัยต่างๆ เพื่อลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขั้นจากทั้งผู้ขับเอง และปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นบนท้องถนนด้วย
XC90 ก็เช่นกัน ได้รับการพัฒนาต่อยอดระบบความปลอดภัยต่างๆขึ้นมาเพื่อให้ทุกๆคนปลอดภัย เช่น ระบบเบรกอัตโนมัติหลีกเลี่ยงการชนบริเวณทางร่วมแยก (Auto Brake at Intersections) ที่บางทีก็มีรถตัดหน้าเราในระหว่างที่เราเลี้ยว ระบบปกป้องเมื่อเกิดการวิ่งตกถนน (Run-Off Protection) ระบบนี้ เป็นการเตรียมตัวก่อนเกิดอุบัติเหตุจริง เพื่อลดอาการบาดเจ็บ เป็นต้น ซึ่งสองระบบนี้ นับได้ว่าเป็น ครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้
VOLVO XC90 T8 Twin Engine AWD นับเป็น SUV ที่น่าสนใจที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้ ทั้งดีไซน์ทั้งภายนอก และภายในที่ลงตัว ใช้งานง่าย ทั้งการคำนึงถึงอรรถประโยชน์ต่างๆเช่นการเลือกวางแบตเตอร์รี่ไว้กลางตัวรถ ที่ได้ทั้งความปลอดภัย และเพื่อไม่ให้เกะกะท้ายรถ ทั้งเรื่องพละกำลังที่ให้มาอย่างเหลือเฟือถึง 407แรงม้า และเรื่องความปลอดภัยที่มีมาให้ในแบบจัดเต็ม ด้วยราคาค่าตัวเพียง 4.49ล้านบาท ผมว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะ และคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้