อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ New Honda Accord Hybrid ก็จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว แต่เราอยากจะย้อนให้ดูตัว New Honda Accord 2.0EL กันเสียก่อนว่าตัวนี้จะต่างกันกับตัว Hybrid ที่จะเปิดตัวในวันที่ 28 ก.ค.2559 อย่างไร เพื่อที่จะช่วยให้ผู้อ่าน ตัดสินใจได้มากขึ้นนั่นเอง
ภายนอกบอกเลยว่าเปลี่ยนมาจากเดิมในช่วงกันชนหน้า ไฟหน้า และไฟท้าย โดยได้ยกระดับสู่ความพรีเมี่ยมขึ้นไปอีกขั้นด้วยการปรับเปลี่ยนไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน หรือ Daytime Running Lights ที่ให้ความสวยงาม สะดุดตายิ่งขึ้น และเสริมระบบ Active Cornering Light (ACL) ซึ่งเป็นไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยวให้ความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น, ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ดีไซน์ใหม่ และทั้งหมดนี้ออกแบบให้รับกับกระจังหน้าโครเมียมแถบยาวพร้อมกันชนดีไซน์ใหม่เสริมความหรูหราด้วยวัสดุโครเมียมที่ขอบกระจก, มือเปิดประตู และ Skid plate ที่กันชนหลัง และไฟท้ายแบบ LED ที่ดีไซน์ให้สวยงาม เด่นชัดยิ่งขึ้น
ภายในปรับจากตัวปี 2014 นิดหน่อย เพิ่มจอมาให้ตัว 2.0 ทั้งจอแสดงข้อมูล i-MID และจอควบคุมแบบสัมผัสขนาด 7.7 นิ้ว ซึ่งมาพร้อมกับระบบ Smart Interface ที่ให้คุณควบคุมเครื่องเสียง ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย ข้อมูลรถยนต์ และระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ผ่านหน้าจอแบบระบบสัมผัส หรือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay หรือเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านระบบ MirrorLink® อีกทั้งสามารถเชื่อมโยงเครือข่าย WIFI หรือ Hotspot เพื่อใช้งานเบราว์เซอร์มอบความสะดวกสบายและล้ำสมัยมากขึ้นกว่าที่เคย
ในส่วนของห้องโดยสารอัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย ได้แก่ เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบปรับดันหลังไฟฟ้า และระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Memory Seat), เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าข้างพนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา สำหรับผู้โดยสารด้านหลังสะดวกสบายด้วยช่องปรับอากาศตอนหลัง, พนักเท้าแขนด้านหลังแบบเปิดผ่านห้องสัมภาระท้ายได้, ม่านบังแดดกระจกข้างด้านหลังและม่านบังแดดกระจกหลังปรับไฟฟ้า ที่สำคัญเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระหรือเก็บสิ่งของในแนวยาวนั่นเอง
ส่วนเครื่องยนต์นั้น New Honda Accord 2.0ลิตร แน่นอนว่าต้องเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 155 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตัน-เมตรที่ 4,300 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พ่วงระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยหรือ Paddle Shift ที่เปลี่ยนเกียร์ได้แม่นยำกว่าเดิมมาให้ด้วย ที่สำคัญในเวลานี้ รองรับน้ำมัน E85 ได้ด้วยนะจะบอกให้
แต่จากการที่ได้ทดลองขับจริง บนเส้นทางต่างจังหวัดจริงๆนั้น ตั้งแต่รับรถมา ทางฮอนด้าได้เติมน้ำมันมาแล้วเต็มถัง แต่เป็นแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งก็ไม่เป็นไร ใช้ไปให้หมด แล้วค่อยเติม E85 อีกครั้งก็ยังได้ เพราะเส้นทางที่ใช้ในครั้งนี้ ทั้งไปและกลับนั้น รวมกันแล้วกว่า 800กม.ด้วยกัน
ซึ่งผลที่ได้ก็เป็นไปอย่างที่เห็น ช่วงที่วัดนั้นเป็นเส้นทางนอกเมืองเป็นหลัก และต้องบอกไว้ด้วยว่า เป็นการขับแบบปกติ ที่เอนไปทางการใช้ความเร็วสูงอยู่เหมือนกัน ซึ่งบางช่วงความเร็วแตะ 140กม./ชม.เลยก็ว่าได้ แต่ก็พยายามให้อยู่ในระดับการใช้งานจริงในช่วง 110-130 กม./ชม. แต่หากเป็นน้ำมัน E85 ตัวเลขก็จะน้อยกว่านี้นะครับ แต่ก็ไม่ได้มากอะไร คุ้มค่ากับเงินที่เสียค่าน้ำมันไปมากกว่าครับ
ที่น่าสนในอีกเรื่องก็คงจะเป็นเรื่องช่วงล่างที่นุ่ม แต่ไม่นิ่ม และระบบความปลอดภัยต่างๆที่อัดแน่นมาให้อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda Lane Watch) ,กล้องมองหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ,ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ ,ม่านถุงลมด้านข้าง ,ระบบควบคุมการทรงตัว VSA,ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ,ระบบกระจายแรงเบรค EBD ,ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งระบบต่างๆเหล่านี้ ถ้าเป็นรุ่นก่อนปรับโฉมใหม่ 2016 ก็จะอยู่ในตัวท็อป 2.4ลิตรซะเป็นส่วนใหญ่ครับ
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะเป็นของใหม่เฉพาะรุ่นปี 2016 เท่านั้นนั่นคือ ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Engine Remote Start) ที่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์และสั่งการเปิดเครื่องปรับอากาศได้จากระยะไกลเพื่อปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง ซึ่งจะมีประโยชน์มากๆเวลาที่จอดรถตากแดด ซึ่งบ้านเราก็รู้ๆกันอยู่ว่าร้อนแค่ไหน
ด้วยราคาค่าตัวในรุ่น 2.0ลิตร ที่เริ่มต้นเพียง 1,385,000บาท แต่ได้อะไรๆที่ดูเทียบเท่ากับรุ่น 2.4ลิตร แบบนี้จะไม่เรียกว่าคุ้มกว่าได้อย่างไร แต่เดี๋ยวก่อน!! อยากให้รอดู New Honda Accord Hybrid ที่จะเปิดตัวในวันที่ 28 ก.ค.นี้ก่อน ว่าจะเป็นอย่างไร จะอลังการ จะคุ้มค่า คุ้มราคากว่าหรือไม่ ติดตามกันได้ที่ www.mo-emag.com และ www.facebook.com/moemagazine เช่นเคยครับผม